การคาดการณ์เกี่ยวกับระบบ Networking 6 อันดับแรกสำหรับปี 2023
เมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2023 เหตุการณ์ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาได้ทิ้งความเสียหายไว้ด้วยการขาดแคลนพนักงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ การหยุดชะงักของ supply chain และความความระส่ำระสายทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เร่งหรือบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ และในบางกรณี ทำให้เกิดการทบทวนรูปแบบธุรกิจพื้นฐานเสียใหม่ ขณะนี้ระบบเครือข่ายมีบทบาทที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยขับเคลื่อนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อการเติบโตท่ามกลางความไม่แน่นอนและเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในปี 2023
ภายในสิ้นปี 2023 องค์กร 20% จะนำกลยุทธ์ NaaS มาใช้
ด้วยสภาวะตึงเครียดทางเศรษฐกิจ ฝ่ายไอทีต้องการความยืดหยุ่นในการปรับใช้ และดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย เพื่อให้ทีม network สามารถส่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจมากกว่าแค่จัดการอุปกรณ์ การย้ายไปยังเฟรมเวิร์ก network-as-a-service (NaaS) ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถเร่งการปรับปรุงเครือข่ายให้ทันสมัย แต่ยังคงอยู่ภายใต้งบประมาณ ทรัพยากรด้านไอที และข้อจำกัดด้านกำหนดการ นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์ NaaS จะช่วยให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน เนื่องจากซัพพลายเออร์ชั้นนำของ NaaS ได้นำกลยุทธ์การผลิตที่เป็นกลางทางคาร์บอนและการรีไซเคิลมาใช้
การรักษาความปลอดภัยแบบ Built-in จะถูกแทนที่ด้วย Bolt-on
การลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ได้กลายเป็นประเด็นหลักในการปฏิบัติงาน การแปลงเป็นสถาปัตยกรรมการรักษาความปลอดภัยที่เป็นอัตโนมัติมากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นด้านไอที องค์กรไม่สามารถติด bolt-on perimeter firewalls รอบเครือข่ายเพื่อป้องกันภัยคุกคามและช่องโหว่ได้อีกต่อไป การรักษาความปลอดภัยต้องมีอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายทุกด้าน ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อ Wi-Fi ไปจนถึง LAN สวิตช์แคมปัสและศูนย์ข้อมูล เกตเวย์ WAN และขยายไปสู่ระบบ cloud Zero Trust และ SASE frameworks จะเชื่อมโยงกันมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อป้องกันภัยคุกคามเท่านั้น แต่จะใช้ micro-segmentation ทั่วทั้งระบบไอทีทั้งหมด รวมถึงผู้ใช้ อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ แอปพลิเคชัน บริการเครือข่าย การประมวลผล และแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูล
Location services จะช่วยให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตลาดแรงงานฝีมือที่ท้าทายและปัญหา supply chain ที่เกิดซ้ำจะบังคับให้บริษัทต่างๆ มีประสิทธิภาพ ผลิตผล และมีไหวพริบมากขึ้น การมุ่งสู่การรับรู้สถานการณ์ของสินทรัพย์ สินค้าคงคลัง งานระหว่างทำ พนักงาน ลูกค้า ผู้รับเหมา และซัพพลายเชนจะช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุน ทรัพยากร คุณภาพ และทรัพย์สินทางปัญญาได้ดีขึ้น สิ่งนี้จะต้องผสานรวมข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Internet of Things (IoT) และเทคโนโลยีการดำเนินงาน (OT) เข้ากับข้อมูลเชิงบริบทเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ธุรกิจจะวางโฟกัสใหม่ไว้ที่การได้รับตำแหน่งที่ถูกต้องของกิจกรรมการทำงานและทรัพย์สิน การระบุตัวตนของบุคคลและเครื่องจักร แอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ที่ใช้และโดยใครหรืออะไร และมาตรการรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์และเครื่องจักรทุกชิ้น
ฝ่าย IT จะรวมการดำเนินงานไว้ใน centralized network และ security management platform
องค์กรต่าง ๆ กำลังใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และปรับปรุงการดำเนินงานด้านไอที ในขณะเดียวกัน พนักงานและลูกค้าต่างก็คาดหวังว่าจะได้รับการใช้งานในชีวิตจริง หรือประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีขึ้น โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบธุรกิจขององค์กร พลวัตเหล่านี้ได้เพิ่มความซับซ้อนให้กับทั้งเครือข่ายและความปลอดภัย และทำให้การจัดการโครงสร้างพื้นฐานมีความซับซ้อนมากขึ้น ด้วยการมุ่งเน้นอย่างเข้มข้นไปที่คุณภาพของประสบการณ์ของผู้ใช้ในขณะที่เพิ่มการป้องกันจากการโจมตีทางไซเบอร์ ฝ่ายไอทีจะมองหาระบบ Centralized management พร้อมการมองเห็นทั่วทั้งเครือข่ายและความสามารถในการกำหนดค่า edge to cloud QoS และนโยบายความปลอดภัย
การวัด SLA จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ใช้ ไม่ใช่ box uptime และความพร้อมใช้งานของลิงก์
ฝ่ายไอทีต้องเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายให้เป็นไปตามข้อกำหนดการทำงานแบบผสมผสาน ธุรกิจต่างๆ จะมีทีมงานเฉพาะซึ่งมีความสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้ปลายทางจะได้รับประสบการณ์ดิจิทัลที่ราบรื่นสำหรับพนักงานและลูกค้า การปรับให้เข้ากับมุมมองไคลเอนต์ แทนที่จะเป็นมุมมองเครือข่าย จำเป็นต้องมีการมองเห็นตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางและข้อมูลเชิงลึกระดับแอปพลิเคชันเพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพของประสบการณ์ตรงตามความคาดหวังของผู้ใช้ปลายทาง การควบคุมประสิทธิภาพเครือข่ายอย่างแน่นหนาไม่เพียงพออีกต่อไป ความสามารถในการระบุและแก้ไขปัญหาเวลาตอบสนองของแอปพลิเคชันและปัญหาด้านประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วและจากระยะไกลจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสบการณ์ดิจิทัลของผู้ใช้ปลายทางที่ราบรื่น ไม่ว่าผู้ใช้จะเชื่อมต่อจากที่ใด
AIOps จะเปลี่ยนจากการเสนอข้อมูลเชิงลึกเป็นหลักเป็นการนำเสนอการแก้ไขอัตโนมัติ
ด้วย AI การนำระบบคลาวด์มาใช้ และการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลซึ่งขณะนี้พบได้ทั่วไปในโซลูชันการจัดการเครือข่ายระดับองค์กร ระบบอัตโนมัติจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ การระบุการจัดกลุ่มของอาการแสดงข้อผิดพลาดที่คล้ายคลึงกันทั่วทั้งเครือข่ายแบบฟูลสแต็กจะนำไปสู่เวิร์กโฟลว์ที่มีการจัดการ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรด้านไอทีมีตัวเลือกในการอนุญาตให้โซลูชันแก้ไขปัญหาโดยอัตโนมัติ ความจำเป็นในการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านไอทีและทำได้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลงคือการขับเคลื่อนเวิร์กโฟลว์ที่มีมนุษย์ช่วยเหลือ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่แนะนำและผลกระทบ จากนั้นจึงเปิดใช้งานการแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปสู่การผลิต
โดย David Hughes, Chief Product and Technology Officer
Source https://blogs.arubanetworks.com/